เขียนโดย Administrator
|
วันพุธที่ 09 มกราคม 2013 เวลา 08:04 น. |
พวกที่ภาวนาไม่เป็นชอบกล่าวเสมอว่าสมาธิขั้นสมถะไม่เกิดภูมิความรู้ ทีนี้ จิตที่มันว่างๆๆๆ ไปจนกระทั่งตัวหายนั่นแหละ ถ้ามันไปติดอยู่ในฌานสมาบัติ มันก็ได้แต่นิ่งว่างละเอียด ไปจนกระทั่งร่างกายตัวตนไม่มี
แต่ถ้าหากว่าภูมิจิตดวงนี้มีอุปนิสัยวาสนาบารมีจะเกิดภูมิความรู้ พอร่างกายตัวตนหาย มันไปลอยเด่นอยู่เหนือจักรวาลโน่น สว่างไสวอยู่เหมือนดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ แล้วมันแผ่รัศมีความสว่างมาครอบคลุมโลกทั้งหมด อะไรอยู่ใต้ความสว่างของจิตนี่ จิตมันจะรู้เห็นหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
มันมองเห็นจนกระทั่งมนุษย์ ภูตผีปีศาจ เทวดา อินทร์ พรหม ยมยักษ์ ในขณะจิตเดียวทั่วไปหมด เสร็จแล้วมันก็บันทึกข้อมูลของมันเอาไว้ พอมันถอนออกจากสมาธิมา มันก็มาพิจารณาทบทวน ย้อนหลังไปทบทวนความรู้ที่มันรู้ นิ่งๆ อยู่ เฉยๆ
มันอาจจะนึกขึ้นมาว่า อ้อ!อีตาใส่เสื้อลายๆ ถือดาบนั่น คือเราเป็นพระเจ้าแผ่นดินในชาตินั้น ช้างตัวนั้นที่ถูกเขาตัดงาไปขายคือเราในชาตินั้น มันจะพิจารณาทบทวนของมันไปอย่างนี้ไอ้สัตว์ตัวจมูกแหว่งๆ ผมยาวๆ หรือหัวกุดหัวขาด นั่นคือเปรต มันทำบาปอย่างนั้น มันจึงไปเป็นอย่างนั้น
อันนี้เรียกว่า รู้การจุติและเกิดของสัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกฎของกรรม
อีตานี่ มันบาปหนักกว่าเพื่อนนี่ มันไปทำบาปทำกรรมอะไร อะไรเป็นเหตุให้มันทำบาป ... อวิชชา ความรู้ไม่จริง มันรู้ไม่จริง มันจึงทำดีบ้าง ชั่วบ้าง บาปบ้าง บุญบ้าง มันเผลอไปทำบาปหนัก เพราะมันเข้าใจว่าสิ่งนี้มันดีสำหรับมัน แต่แล้วมันก็เป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรม ผิดกฎหมายปกครองบ้านเมือง มันตายมาแล้ว มันจึงมาเกิดเป็นอย่างนี้
อันนี้ เป็นภูมิความรู้ของพระพุทธเจ้า
|