พกพาความสุขสงบใจกลับไปบ้าน |
|
|
|
เขียนโดย Administrator
|
วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม 2013 เวลา 07:59 น. |
เมื่อครั้งที่ฉันได้รับรู้ว่าจะต้องเข้าค่ายปฏิบัติธรรม ความรู้สึกแรกคือกังวลว่าจะต้องน่าเบื่อแต่เมื่อได้มาปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆ แล้วก็พบว่าไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด สถานที่ตั้งและสภาพแวดล้อมของวัดเล็กๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยทิวทัศน์ที่งดงาม อากาศบริสุทธิ์ และบรรยากาศสงบ ร่มเย็น อันหาได้ยากมากในเมืองใหญ่ที่ฉันจากมา ทว่าท่ามกลางทิวป่าทึบ กลับไร้วี่แววของแมลงร้ายที่มารบกวนจิตใจ จำพวกยุงเหลือบริ้นไร มีแต่เพียงแมลงหวี่ที่ไม่มีพิษภัยเท่านั้น หรือจะเป็นเทพยดาแห่งป่าเขาที่ช่วยปกปักรักษาเขตปฏิบัติธรรมอันบริสุทธิ์นี้ก็สุดรู้ ขอสารภาพแต่โดยดีว่า ยามนั่งสมาธิครั้งแรก ฉันได้แต่ฟุ้งซ่าน สัปหงก และกระวนกระวาย อยากให้เวลาสมาธิสิ้นสุดเสียโดยไว จนล่วงเข้ายกที่ ๓ ฉันถึงเริ่มทำสมาธิได้บ้าง ฉันแอบลืมตามา ๓ ครั้งภายใน ๓๐ นาที สำหรับฉันซึ่งแต่เดิมเป็นคนลุกลี้ลุกลนจนเหมือนลิงค่างแล้ว ฉันภูมิใจมาก จากนั้นมา ยามนั่งสมาธิครั้งต่อ ๆ มา ฉันก็ตั้งใจเฝ้าดูลมหายใจของตนเอง พยายามมีสติรู้ตัวขณะบริกรรมในใจว่า "แน่วแน่" ตลอดทุกลมหายใจเข้าออก ถ้ามีภาพจินตนาการฟุ้งซ่านขึ้นมาในหัว ฉันจะจินตนาการภาพคนถือไม้เช็ดกระจก มาลบออกไปจนเหลือแต่ความว่างเปล่าเช่นเดิม ฉันถือว่าตนเองได้รับประสบการณ์ใหม่ที่ดีอีกอย่างหนึ่ง วันนี้เป็นวันสุดท้ายของฉันสำหรับกาลนี้ ณ วัดวะภูแก้ว อันสงบงดงาม เมื่อตระหนักว่าจะต้องกลับไปเมืองใหญ่ไปเผชิญชีวิตเร่งรีบอีก ฉันจึงตั้งใจว่าจะต้องรักษาความสงบในใจไว้ด้วยการทำสมาธิก่อนนอนวันละ ๑๐ นาทีขึ้นไป พร้อมกับสวดมนต์อย่างย่อด้วย บรรยากาศสงบร่มเย็นของวัดวะภูแก้ว ฉันนำติดตัวกลับไปด้วยไม่ได้ แต่จิตอันสงบสุข ปีติที่ได้รับจากการฝึกที่นี่ฉันจะนำมันติดตัวไปตราบลมหายใจสุดท้าย น.ส. พรรษชล พงษ์กิจการุณ สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
|