สวดมนต์เป็นนิจ จิตได้พลัง |
|
|
|
เขียนโดย Administrator
|
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 01:27 น. |
ในการปฏิบัติสมาธิภาวนาอย่างอื่น ใครจะว่าอะไรวิเศษ วิโส อะไรก็... เชิญท่านว่าไปเถอะ เราก็เอาสวดอิติปิโสของเรา อันเดียวเท่านั้น สวดไปๆ จิตมันสงบเป็นสมาธิเอง บทสวดมนต์นี่ เราสวดทุกวันๆ ถึงแม้ว่ารู้สึกว่าจิตของเรา ไม่มีสมาธิก็ตาม มันจะค่อยฝังลงในส่วนลึกของจิต มันจะฝังเข้า ไปในจิตใต้สำนึก ภายหลังมานี่ ถ้าเราสวดต่อเนื่องกัน ถึงตี ๒ ตี ๓ ตี ๕ ตี ๗ นี่ ต่อไปเราไม่ต้องสวดมนต์ ถ้าเวลากะทันหันนี่ สวดแล้วจะทำอะไร เช่น จะทำน้ำมนต์ หรือว่าลูกหลานเจ็บป่วย เราสำรวมจิตปั๊บ นึกถึง พุทโธๆๆๆๆ เป่าพรวดลงไป บางทีก็หาย เราสวดทุกวันๆ อิทธิพลมันเข้าไปฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก เพราะฉะนั้น ครูบาอาจารย์โบราณท่านจึงมีคติเตือนใจว่า อสัชฌายะ มะลามันตา มนต์ไม่ท่องบ่นเป็นมลทิน ทีนี้ในเมื่อมานึกถึงบทนี้ เราจึงมีปัญหาที่น่าคิดขึ้นมาว่า ทำไมบุรพาจารย์ของเราจึงแนะนำและสั่งสอนให้ลูกศิษย์ลูกหาสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น ทุกวันๆ ก็เพราะอาศัยเหตุนี้ อาศัย อสัชฌายะ มะลามันตา มนต์ไม่ท่องบ่นเป็นมลทิน บทสวดมนต์นี่ สวดทุกวันๆๆๆ นี่ มันเพิ่มความขลังความ ศักดิ์สิทธิ์ เราไม่ได้สวดมนต์เพื่อขลัง เพื่อศักดิ์สิทธิ์ แต่ความขลัง ศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นผลพลอยได้ เพราะฉะนั้น อิติปิโส สวดทุกวันๆๆ แม้แต่เพียงวันละจบเท่านั้น มันก็ยังมีผล เช่นอย่างพระเจ้าพระสงฆ์ แม้แต่ทำวัตรสวดมนต์เช้า-เย็น ก็ขี้เกียจไม่เอาไหน แต่ถึงเวลาไปสวดมนต์ฉันข้าวให้ญาติโยมนี่ไปสวด มันก็ไม่มีความหมาย เพราะท่านไม่ได้สวดประจำวัน ความขลังมันไม่มี พอไปว่า นะโม ตัสสะ ... อเสวนา ขึ้นมาแล้ว คล้ายๆ กับว่าไปร้องเพลงรับจ้างกินเท่านั้น มันไม่เกิดประสิทธิภาพ ที่จะเกิดประโยชน์ให้แก่ญาติแก่โยม เพราะฉะนั้น ญาติโยมทั้งหลายนี่พอได้ยินว่าพระเถระองค์ใดมีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ มีอะไรต่ออะไรแล้ว จะพากันแห่ไปหา เพราะเขาเชื่อมั่นว่าท่านเหล่านั้นสวดมนต์ภาวนามามากต่อมากแล้ว ไปทำอะไรก็จะขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ทีนี้ สมมติว่าญาติโยมทั้งหลายพากันยึดมั่นในการสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วก็เมตตาพรหมวิหาร ถ้ายังแถม รักษาศีล ๕ ด้วย ยิ่งดี เราสามารถที่จะทำอะไรดีๆ ได้เหมือนพระ บางทีอาจจะดีกว่าพระเสียด้วยซ้ำไป
|